คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติ ปรับลดค่าไฟฟ้าลงอีก 3 สตางค์ต่อหน่วย จาก 4.18 บาทต่อหน่วย เหลือ 4.15 บาทต่อหน่วย สำหรับรอบเดือน มกราคม – เมษายน 2568 เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพให้ประชาชน อย่างไรก็ตาม การลดค่าไฟในครั้งนี้ส่งผลให้ประชาชนต้องแบกรับภาระหนี้ค่าไฟฟ้าและค่าก๊าซธรรมชาติที่ค้างจ่ายกับ กฟผ. และ ปตท. ต่อไป ซึ่งคาดว่าสิ้นสุดงวดนี้ จะยังมีหนี้สะสมมากกว่า 85,226 ล้านบาท
รายละเอียดการปรับลดค่าไฟฟ้า
นาย พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า การลดค่าไฟฟ้าในงวดนี้ถือเป็น ของขวัญปีใหม่ 2568 จากรัฐบาลแก่ประชาชน โดยมติที่ประชุม กกพ. ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 เห็นชอบให้ปรับลดค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) ลง ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยในช่วงมกราคม-เมษายน 2568 อยู่ที่ 4.15 บาทต่อหน่วย
การพิจารณาค่าไฟในครั้งนี้มี 3 แนวทางหลัก ได้แก่
- แนวทางที่ 1 – ปรับขึ้นค่า Ft เป็น 170.71 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟเฉลี่ยเพิ่มเป็น 5.49 บาทต่อหน่วย เพื่อคืนหนี้ กฟผ. ทั้งหมด
- แนวทางที่ 2 – ปรับขึ้นค่า Ft เป็น 147.53 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟเฉลี่ยเป็น 5.26 บาทต่อหน่วย และทยอยคืนหนี้จนถึง เม.ย. 2568
- แนวทางที่ 3 (ข้อเสนอของ กฟผ.) – คงค่า Ft เท่ากับงวดปัจจุบันที่ 39.72 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟเฉลี่ยอยู่ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย และทยอยชำระคืนภาระต้นทุนที่ค้างอยู่
ลดค่าไฟฟ้าเท่าไหร่
จากการเลือกแนวทางที่ 3 และปรับลดค่าไฟฟ้าลงอีก 3 สตางค์ต่อหน่วย จะช่วยบรรเทาค่าครองชีพประชาชนในระยะสั้น แต่จะทำให้ภาระหนี้ค่าไฟฟ้าที่ กฟผ. และ ปตท. แบกรับแทนประชาชน ยังคงอยู่ที่ 85,226 ล้านบาท หลังสิ้นเดือนเมษายน 2568
แม้ค่าไฟฟ้าจะลดลง แต่ประชาชนยังต้องรับภาระหนี้ที่ค้างอยู่ ซึ่งอาจมีผลต่อโครงสร้างค่าไฟในอนาคต การติดตามแนวทางชำระหนี้ และนโยบายพลังงานต่อจากนี้จึงเป็นสิ่งที่ต้องจับตา